|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
พระอาทิตยวงศ์ เป็นกษัตริย์องค์ที่24แห่งราชวงศ์สุโขทัยเป็นอนุชาของพระเชษฐาธิราช(กษัตริย์องค์ที่23)พระเจ้าปราสาททองพระเจ้าปราสาททองเป็นกษัตริย์องค์ที่2ของอาณาจักรอยุธยาและทรงเป็นผู้สถาปนาราชวงศ์ปราสาททองอันเป็นราชวงศ์ที่4(ในจำนวน5ราชวงศ์)ของอยุธยาพระเจ้าปราสาททองประสูติปี2143และอาจจะมีสายพันธ์ในการทรงเป็นลูกพี่ลูกน้องกับพระเจ้าทรงธรรมรับราชการเป็นหมาดเล็กของพระเอกาทศรถและเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นในกรมวังตอนอายุ17ปีเมื่อพระเจ้าทรงธรรมสวรรคต2171ก็เกิดปัญหาการสืบราชสมบัติอันเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตกของอยุธยาขุนนางในราชสำนักแยกเป็น2ฝ่ายฝ่ายหนึ่งคือเจ้าพระยามหาเสนาสนับสนุนพระศรีศิลป์ซึ่งเป็นอนุชาของพระเจ้าทรงธรรมแต่อีกฝ่ายหนึ่งคือเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์(ปราสาททอง)สนับสนุนพระเชษฐาธิราชซึ่งเป็นโอรสฝ่ายพระเจ้าทรงธรรมฝ่ายพระเชษฐาธิราชได้ชัยชนะขึ้นครองราชสมบัติดังนั้นเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์(ปราสาททอง)จึงได้รับตำแหน่งกลาโหมมีไพร่พลในบังคับและมีอำนาจมากพระเชษฐาธิราชครองราชสมบัติได้1ปี7เดือนเกิดความขัดแย้งกับเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์พระเจ้าแผ่นดินถูกจับสำเร็จโทษและตั้งพระอนุชาคือพระอาทิตยวงศ์ขึ้นเป็นกษัตริย์ได้เพียง1เดือนเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ก็ยึดอำนาจสถาปนาตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์เมื่อพระชนม์พรรษา30พระองค์ครองราชย์27ปีพระเจ้าปราสาททองพยายามแก้ปัญหาการปกครองคือพยายามที่จะไม่ให้เจ้าหรือขุนนางคนใดคนหนึ่งมีอำนาจในการคุมไพร่พลมากจนมีอำนาจมากขึ้นได้ในสมัยพระนเรศวรและพระเอกาทศรถได้ทรงแก้ปัญหานี้แล้วด้วยการตัดกำลังและอำนาจของเจ้าเมืองบางเมืองยกเลิกตระกูลเจ้าหัวเมืองที่จะสืบต่ออำนาจกันใช้การแต่งตั้งจากส่วนการออกไปพระเจ้าปราสาททองได้ดำเนินการให้แบ่งแยกอำนาจกันระหว่าง2เสนาบดีผู้ใหญ่คือกลาโหมและมหาดไทยแบ่งหัวเมืองทางเหนือให้อยู่ในบังคับบัญชาของหมาดไทยให้หัวเมืองทางใต้อยู่ในบังคับบัญชาของกลาโหมนอกเหนือจากปัญหาภายในแล้วยังมีปัญหากับชาวต่างชาติคือญี่ปุ่นและฮอลันดาในสมัยของพระเจ้าปราสาททองเป็นสมัยที่ศิลปะเกี่ยวกับศาสนาเฟื่องฟูมากมีการรื้อฟื้นอิทธิพลของสถาปัตยกรรมเขมรเช่นการสร้างปรางค์ที่วัดไชยวัฒนารามและที่อำเภอนครหลวงแต่ในขณะเดียวกันก็มีการพัฒนาศิลปะของพระพุทธรูป(ทรงเครื่องกษัตริย์)และปรางค์(ยอดสูง)แบบไทยอันถือเป็นแบบฉบับที่สำคัญของปลายอยุธยาพระเจ้าปราสาททองทรงเน้นพระราชพิธีเสด็จไปบูชารอยพระพุทธบาทที่สระบุรีอันเริ่มมาแต่สมัยพระเจ้าทรงธรรมจนกลายเป็นประเพณีที่สำคัญของอยุธยาตอนปลายเจ้าฟ้าไชย(กษัตริย์องค์ที่25)ขึ้นครองราชย์ได้2วันพระศรีสุธรรมราชาเป็นกษัตริย์องค์ที่27แห่งราชวงศ์สุโขทัยเป็นพระอนุชาของพระเจ้าปราสาททอง(กษัตริย์องค์ที่25)ขึ้นครองราชย์ได้2เดือน18วันพระนารายณ์พระนารายณ์ทรงเป็นกษัตริย์องค์ที่28แห่งอยุธยาพระองค์ทรงได้รับยกย่องให้เป็นมหาราชองค์หนึ่งทั้งนี้เพราะถือว่ารัชสมัยของพระองค์เจริญรุ่งเรืองในทางวรรณคดีและการต่างประเทศแต่ก็เป็นสมัยที่มีปัญหายุ่งยากทางการเมืองภายในอย่างสูงและเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมืองระหว่างประเทศในลักษณะที่ล่อแหลมจนเกือบทำให้สยามตกอยู่ใต้อิทธิพลของฝรั่งเศสสมัยของพระองค์เป็นสมัยที่มีข้อมูลทางประวัติศาสตร์มากที่สุดของอยุธยาเพราะได้หลักฐานจากชาวตะวันตกที่เข้ามาในราชสำนักพระนารายณ์เป็นโอรสของพระเจ้าปราสาททองกษัตริย์องค์ที่25ทรงประสูติเมื่อ2175/1632และเมื่อพระราชบิดาสวรรคต2199พระเชษฐาของพระองค์คือเจ้าฟ้าไชยก็ได้ขึ้นครองราชสมบัติเพียงวันพระนารายณ์ทรงร่วมสมคบกับพระศรีสุธรรมราชาซึ่งเป็นพระเจ้าอาชิงราชสมบัติโดยขอให้ชาวต่างชาติในอยุธยาเช่นฮอลันดาญี่ปุ่นมุสลิม(เปอร์เซียและปัตตานี)ช่วยให้พระศรีสุธรรมราชาครองราชสมบัติแทนแต่พระศรีสุธรรมราชาก็อยู่ในสมบัติได้เพียง10สัปดาห์พระนารายณ์ก็ชิงราชสมบัติอีกครั้งในสมัยของพระนารายณ์ทรงพยายามที่จะสถาปนาอำนาจของอยุธยาเหนือล้านนา(เชียงใหม่)และพม่าตอนล่างซึ่งเป็นเขตอิทธิพลที่ช่วงชิงกันระหว่างอยุธยาและพม่านับตั้งแต่กลางพุทธศตวรรษที่(2204)และเมืองของพม่าเช่นเมาะตะมะร่างกุ้งพะโค(2205)ในสมัยของพระองค์อยุธยาสามารถครอบครองเมืองต่างๆในพม่าตอนล่างสุดไว้ได้เช่นมะริดและตะนาวศรีและใช้หัวเมืองเหล่านี้เป็นเมืองท่าติดต่อค้าขายกับอินเดียตลอดจนชาวตะวันตกที่เริ่มเข้ามาเป็นจำนวนมากในแถบนั้นโดยเฉพาะอังกฤษและฝรั่งเศสบรรดาชาติตะวันตกที่มีความสำคัญในระยะนี้คือฮอลันดาอังกฤษฝรั่งเศสโดยบทบาทของโปรตุเกสได้เริ่มลดลงบรรดาพ่อค้าเหล่านี้พยายามอย่างยิ่งที่จะเข้ามามีผลประโยชน์ในการค้าของเอเชีย ซึ่งเดิมอยู่ในมือของจีนทางด้านตะวันออกและชาวมุสลิมชาวตะวันตกตั้งสถานีการค้าของตนเพื่อตัดการค้าผูกขาดของราชสำนักไทยที่มีกับต่างประเทศแม้ว่าศตวรรษที่22จะมีชาวตะวันตกเป็นจำนวนมากแต่ก็ต้องเผชิญกับการแข่งขันจากจีนและมุสลิมทำให้ชาวตะวันตกไม่ได้รับผลกำไรเท่าที่ต้องการเป็นผลให้การค้าอยู่ในลักษณะที่ปิดๆเปิดๆอยู่ตลอดเวลาในสมัยของพระนารายณ์ทรงสร้างเมืองลพบุรีขึ้นเป็นราชธานีแห่งที่2(2208)และในแต่ละปีทรงพำนักอยู่ที่เมืองนี้มากกว่าอยุธยากล่าวกันว่าการสร้างราชธานีแห่งที่2นี้ก็เพื่อใช้เป็นป้อมปราการในการที่จะต้องเผชิญต่อการปิดล้อมหรือการคุกคามจากชาติตะวันตก(ฮอลันดา)แต่ในการตีความประวัติศาสตร์แบบใหม่เหตุผลของปัญหาความยุ่งยากทางการเมืองภายในราชสำนักก็อาจเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งจากสมัยของพระองค์ถือกันว่าเป็นสมัยที่มีความเจริญรุ่งเรืองทางด้านศิลปวิทยาการมีการแต่งวรรณกรรมเก่าๆเช่นจินดามณี(2215)ราโชวาทชาดก(2218)พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับหลวงประเสริฐ(2223)เป็นต้นงานเหล่านี้ถือเป็นพื้นฐานของประวัติศาสตร์และวรรณคดีของไทยในปัจจุบันเรื่องที่ถือว่าเด่นที่สุดของสมัยพระนารายณ์คือการติดต่อสัมพันธ์กับราชสำนักฝรั่งเศสของพระเจ้าหลุยส์ที่14และเป็นเรื่องที่ล่อแหลมต่อการสูญเสียเอกราชของอยุธยาเป็นอย่างมากในระหว่าง22232231มีบทบาทของชาวต่างชาติ(กรีก)ที่มีนามว่าคอนแสตนตินฟอลคอนพ่อค้าผู้นี้ได้เข้ามากับเรือสินค้าของอังกฤษด้วยความสามารถทางการค้าและภาษาทำให้ก้าวขึ้นมารับราชการกับกรมพระคลังและมีส่วนในเรื่องการส่งทูตไทยไปยังเปอร์เซียทำให้ได้รับการโปรดปรานเข้าทำงานใกล้ชิดกับพระนารายณ์จนเลื่อนเป็นเจ้าพระยาวิไชเยนทร์รักษาการในตำแหน่งพระคลังและในที่สุดก็ควบคุมกรมมหาดไทยกลายเป็นเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ฟอลคอนสนใจระบบการค้าในเอเชียและต้องการจะหาผลประโยชน์ให้กับตนพร้อมๆกับการทำงานให้ราชสำนักไทยผลประโยชน์ของเขาขัดกับของอังกฤษฮอลันดาและบรรดาชาวมุสลิมที่มีอิทธิพลอยู่ในปี2222พระนารายณ์ทรงส่งทูตไปฝรั่งเศสแต่ทูตชุดนี้เรือแตกสูญหายไปนอกฝั่งดังนั้นเขาจึงหันไปร่วมมือกับบาทหลวงชาวฝรั่งเศสที่เข้ามาเผยแพร่ศาสนาอยู่ในอยุธยาในแง่ของพระนารายณ์พระองค์สนใจที่จะมีฐานะในทางการระหว่างประเทศโดยส่งทูตไปเปอร์เซียอินเดียจีนพระองค์จึงเล็งเห็นความสำคัญและความสามารถของฟอลคอน ในขณะเดียวกันมิชชั่นนารีเยซูอิตก็ได้เข้ามาในอยุธยาตั้งแต่ 2205มีส่วนช่วยในด้านวิศวกรของการสร้างวังและป้อมปราการให้กับพระนารายณ์ได้รับอนุญาตพิเศษให้ตั้งสำนักเซมินารีที่จะสั่งสอนศาสนาและพระนารายณ์ก็ส่งสารไปเจริญสัมพันธไมตรีกับพระเจ้าหลุยส์ที่14และสันตปาปาที่กรุงโรมโดยผ่านบาทหลวงเหล่านี้ เป็นผลทำให้เกิดความเข้าใจกันว่าพระองค์สนพระทัยในคริสต์ศาสนา และอาจจะเปลี่ยนไปเข้ารีตได้แอฟริกา ต่อมาในปี 2225 ฝรั่งเศสได้ส่งทูตชุดเล็กเข้ามาทำการเจรจาสร้างพันธมิตรระหว่างประเทศ ซึ่งในปี 2227 ทูตชุดที่ 2 ของไทยก็ไปเจรจาเรื่องนี้ต่อ ผลก็คือในปี 2228-2229 ฝรั่งเศสได้ส่งทูตชุดใหญ่และสำคัญอันนำโดย เชอวาลิเอ เดอ โชมองต์ เข้ามาในอยุธยาด้วยจุดประสงค์ที่จะให้พระนารายณ์เปลี่ยนศาสนา ให้ฝรั่งเศสมีอิทธิพลในการสอนศาสนา ให้มีสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ให้ผูกขาดการค้าดีบุกที่ภูเก็ต ให้ได้รับประโยชน์ทางการค้าเท่าเทียมฮอลันดา และให้ตั้งทหารของตนได้ที่เมืองสงขลาทูตชุดนี้ของฝรั่งเศสกลับออกไปในปี 2229 พร้อมกับนำทูตชุดที่ 3 ของไทยที่นำโดย โกษาปาน ไปด้วย เพื่อเจรจาสัญญาต่างๆในรายละเอียดอีกครั้ง โกษาปานไปต่างประเทศในระหว่าง 2229-2230 ขณะเดียวกันสถานการณ์ในสยามก็เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ในปี 2229 เกิดขบถมักกะสัน ซึ่งเป็นพ่อค้ามุสลิมจากเกาะซูลาเวสี (อินโดนีเซีย) ที่ทรงอิทธิพลและมีผลประโยชน์ขัดกับฮอลันดา พวกมักกะสันนี้ต้องการสนับสนุนให้อนุชาของพระนารายณ์ขึ้นครองราชย์แทน และต้องการให้เปลี่ยนเป็นนับถือศาสนาอิสลามด้วย แต่ก็ถูกฟอลคอนปราบปรามอย่างราบคาบในขณะเดียวกันก็เกิดวิกฤตการณ์ขึ้นในเมืองมะริด ซึ่งเป็นเมืองท่าด้านตะวันตกของอยุธยามีการสังหารชาวอังกฤษ 60 คนที่ขัดขวางผลประโยชน์ทางการค้าของพระนารายณ์และฟอลคอน เป็นเหตุให้อยุธยาอยู่ในสภาพสงครามกับบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ เรืออังกฤษปิดล้อมมะริด และอังกฤษก็เรียกร้องค่าเสียหายเป็นเงินจำนวนมาก (65,000 ปอนด์ ) ทำให้เกิดความยุ่งยากในราชสำนักและเป็นผลให้พระนารายณ์คิดยกเมืองมะริดให้ฝรั่งเศสในที่สุดในเดือนกันยายน2230ฝรั่งเศสได้ส่งทูตมาอีกชุดหนึ่งนำโดยโคลดเซเบเรต์และซิมองเดอลาลูแบร์พร้อมด้วยเรือรบ 6 ลำ ทหาร 500 คน และบาทหลวงเยซูอิต จุดประสงค์คือเรื่องเปลี่ยนศาสนาของพระนารายณ์ และการเจรจาเอาเมืองบางกอก (แทนเมืองสงขลา) นอกเหนือจากเมืองมะริด อันจะทำให้ฝรั่งเศสยึดเมืองที่คุมอาณาจักรอยุธยาได้ทั้งหมด มีการลงนามในสนธิสัญญาใหม่นี้เมื่อ 11 ธันวาคม 2230 ซึ่งฝรั่งเศสได้เมืองบางกอกไป แต่ไม่ได้การเปลี่ยนศาสนาของพระนารายณ์ผลของการดำเนินนโยบายต่างประเทศที่ล่อแหลมนี้ทำให้เกิดความรู้สึกต่อต้านต่างชาติฝรั่งขึ้นในบรรดาขุนนางไทยและพระสงฆ์ ขุนนางไทยไม่พอใจที่ฟอลคอนมีอิทธิพลมากมายในราชสำนักและมีอิทธิพลต่อองค์พระนารายณ์เอง ทั้งยังได้รับผลประโยชน์จากการค้าอีกด้วย ในขณะเดียวกันชาวต่างชาติอื่นๆก็ไม่พอใจต่อสิทธิพิเศษของฝรั่งเศสและฟอลคอน ในด้านพระสงฆ์เกิดการหวั่นวิตกว่า พระนารายณ์จะหันไปนับถือคริสต์ศาสนา ดังนั้นเมื่อพระนารายณ์ทรงประชวรเมื่อมีนาคม 2231 พระเพทราชา เจ้ากรมช้าง ก็กลายเป็นศูนย์กลางของความรู้สึก ชาตินิยม พระเพทราชาได้รับแต่งตั้งให้รักษาราชการ พระนารายณ์ยังมิทันมอบราชสมบัติให้ผู้ใด พระเพทราชาก็ยึดอำนาจ จับฟอลคอนประหารชีวิตเมื่อ 5 มิถุนายน พระปีย์ (โอรสบุญธรรมของพระนารายณ์) ถูกลอบสังหาร เมื่อพระนารายณ์สวรรคต 11 กรกฎาคม 2231 พระเพทราชาก็ขึ้นครองราชสมบัติ และพระอนุชาของพระนารายณ์ก็ถูกสำเร็จโทษ เป็นอันสิ้นราชวงศ์ปราสาททอง และเริ่มต้นราชวงศ์บ้านพลูหลวง อันเป็นราชวงศ์สุดท้ายของอยุธยา พระเพทราชาเจรจาให้กองทหารฝรั่งเศสถอยออกไปจากเมืองบางกอกเมื่อ 18 ตุลาคม 2231 เป็นอันสิ้นสุดการติดต่อสัมพันธ์ทางการต่างประเทศของอยุธยาในลักษณะล่อแหลม กลับไปใช้การติดต่อค้าขายในลักษณะปกติตามที่เคยเป็นมาแต่ครั้งโบราณกาล
|
พระเพทราชา ทรงเป็นกษัตริย์องค์ที่ 29 ของอยุธยา และทรงเป็นผู้สถาปนาราชวงศ์บ้านพลูหลวง อันเป็นราชวงศ์ที่ 5 และราชวงศ์สุดท้ายของอยุธยาในประวัติศาสตร์ไทย พระเพทราชาถูกมองว่าเป็นกบฏ แต่ในขณะเดียวกันพระองค์ก็ถูกมองว่าเป็น นักชาตินิยม ที่สกัดกั้นมิให้ไทยต้องตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของต่างชาติ (ฝรั่งเศส)พระเพทราชาทรงมีพื้นเพมาจากบ้านพลูหลวงใน จ.สุพรรณบุรี พระมารดาทรงเป็นแม่นมของพระนารายณ์ ดังนั้นพระองค์จึงได้รับการเลี้ยงดูควบคู่กันมากับพระนารายณ์ ทำให้มีโอกาสเข้ารับราชการ โดยเฉพาะได้เป็นเจ้ากรมช้างซึ่งเป็นกรมที่มีอำนาจในทางการทหารอย่างสูง ในช่วงปลายรัชสมัยพระนารายณ์ เมื่ออิทธิพลของต่างชาติคือ ฝรั่งเศสมีมากขึ้น พระเพทราชากลายเป็นศูนย์กลางของความรู้สึกต่อต้านฝรั่งเศสและคริสต์ศาสนาพระเพทราชามีพระโอรส 1 องค์คือ หลวงสรศักดิ์ (พระเจ้าเสือ) ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นโอรสลับของพระนารายณ์ ที่เกิดจากเจ้าหญิง(ลาว) เมืองเชียงใหม่ หลวงสรศักดิ์มีส่วนผลักดันให้พระเพทราชาขึ้นมายึดอำนาจจากพระนารายณ์ เมื่อพระนารายณ์เริ่มประชวรในเดือนมีนาคม 2230 ก็มีปัญหาการสืบราชสมบัติว่าจะตกกับผู้ใด ผู้ที่อยู่ในข่ายคือ พระอนุชา 2 องค์ เจ้าฟ้าอภัยทศ และ เจ้าฟ้าน้อย กับ โอรสบุญธรรมคือ พระปีย์ (พระนารายณ์ไม่มีโอรส) บุคคลทั้ง 3 ถูกหลวงสรศักดิ์กำจัด เมื่อพระนารายณ์สวรรคตไทยก็ขับไล่ฝรั่งเศสออกนอกอาณาเขตตลอดรัชสมัย 15 ปี ของพระเพทราชามีปัญหาเรื่องความสงบ จากการที่พระองค์ถูกมองว่าเป็นผู้แย่งราชสมบัติ ก็ทำให้มีการกบฏต่อพระองค์ เช่นหัวเมืองบางเมืองก็ไม่ยอมรับอำนาจของพระเพทราชาคือเมืองนครราชสีมาและเมืองนครศรีธรรมราช ทั้ง 2 เมืองมีเจ้าเมืองที่ได้รับการสถาปนาโดยพระนารายณ์ ทำให้ไม่ยอมรับอำนาจของพระเพทราชาและต้องส่งกองทัพไปปราบในปี 2234ใช้เวลาถึง 2 ปี และเป็นสงครามภายในที่ใหญ่ที่สุดนับได้ว่า พระเพทราชาเป็นกษัตริย์ที่มีปัญหาเสถียรภาพการเมืองภายในสูงมากนอกจากหลวงสรศักดิ์แล้ว พระเพทราชายังมีโอรสอีก 2 องค์ที่มีสิทธิสืบราชสมบัติคือ เจ้าพระขวัญ และ ตรัสน้อย เมื่อพระเพทราชาประชวร ปัญหาการสืบราชสมบัติก็เกิดขึ้น หลวงสรศักดิ์ลอบประหารเจ้าพระขวัญ (ตรัสน้อยหนีไปบวชพระ) พระเพทราชาจึงตั้งพระนัดดา เจ้าพระพิไชยสุรินทร์ให้สืบราชสมบัติ แต่เมื่อพระองค์สวรรคต2246 หลวงสรศักดิ์ก็ได้สืบราชสมบัติเป็นพระเจ้าเสือพระเจ้าเสือพระเจ้าเสือทรงเป็นกษัตริย์องค์ที่ 30 พระองค์มีชื่อเสียงในฐานะกษัตริย์ของอยุธยาที่ดุร้าย และมักมากในกามคุณ แต่ก็เป็นกษัตริย์ที่ทรงมีความเป็นสามัญชนมากที่สุดของอยุธยา ทรงโปรดปรานการเสด็จออกประพาสโดยมิให้ราษฎรรู้ว่าเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ทรงโปรดการประพาสตกปลา ชกมวย เป็นต้นพระเจ้าเสือประสูติเมื่อ2207 ที่ จ.พิจิตร ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นโอรสลับของพระนารายณ์ ที่เกิดจากเจ้าหญิง(ลาว) เมืองเชียงใหม่แต่เนื่องจากพระนารายณ์ทรงอับอายที่มีโอรสกับเจ้าหญิงที่เป็นลาว ดังนั้นจึงยกพระเจ้าเสือ ซึ่งมีนามเดิมว่า เดื่อ ให้เป็นบุตรบุญธรรมของพระเพทราชาเจ้ากรมช้าง ในสมัยที่ทรงพระเยาว์ พระเจ้าเสือมีนามปรากฏในความสามารถในการบังคับบัญชาช้าง ซึ่งถือว่าเป็นวิชาที่สำคัญต่อความเป็นทหารและเป็นผู้นำ ดังนั้นจึงรับราชการเป็นหลวงสรศักดิ์ ในกรมช้างพระเจ้าเสืออยู่ในราชสมบัติในระยะเวลา 6 ปี และเป็นรัชสมัยที่ค่อนข้างจะไม่มีปัญหาทั้งการเมืองภายในและภายนอกนักไม่เหมือน 2 พระองค์ที่ผ่านมา ในสมัยพระเจ้าเสือมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับการเสด็จประพาสทางเรือและลัทธิของความจงรักภักดีต่อกษัตริย์และกฎเกณฑ์ของบ้านเมืองกล่าวกันว่าครั้งหนึ่งเสด็จจากอยุธยาตามลำน้ำเจ้าพระยาเข้าคลองโคกขาม จะไปเมืองสมุทรสาคร2247 นายท้ายเรือพระที่นั่งชื่อ พันท้ายนรสิงห์ คัดท้ายเรือไม่ดี หัวเรือชนต้นไม้หัก ซึ่งตามกฎแล้วจะต้องถูกประหารชีวิต ด้วยการตัดคอ พระเจ้าเสือทรงมีเมตตาต่อพันท้ายนรสิงห์ จะไม่เอาโทษ พันท้ายนรสิงห์ก็ยอมตายขอให้ประหารชีวิต เพื่อรักษากฎหมายนอกจากนี้ยังมีการขุดคลองมหาชาติ เชื่อระหว่างแม่น้ำเจ้าพระยากับ แม่น้ำท่าจีนซึ่งเป็นผลงานที่สำคัญในด้านการเชื่อมแม่น้ำสายสำคัญในภาคกลาง ทำให้การคมนาคมสะดวกติดต่อกันได้ การขุดคลองนี้ไม่ถือว่าเป็นเรื่องของการชลประทาน แต่ก็มีผลพลอยได้ในการเปิดที่ดินใหม่เพื่อการเกษตรกรรมอย่างมหาศาล การขุดคลองนี้เป็นราชกิจที่มีมาตั้งแต่ต้นอยุธยา มีทั้งการขุดคลองลัดเพื่อให้เส้นทางสั้นลงพระเจ้าเสือสวรรคตในปี 2252 เมื่อพระชนม์พรรษาได้ 45และ พระโอรสก็ขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระเจ้าท้ายสระ โดยไม่มีปัญหาการแย่งราชสมบัติ
|
พระเจ้าท้ายสระ ทรงเป็นกษัตริย์องค์ที่ 31 ทรงเป็นโอรสของพระเจ้าเสือ เมื่อขึ้นครองราชย์ก็ตั้งพระอนุชา(พระเจ้าบรมโกศ) เป็นอุปราชหรือวังหน้า รัชสมัยของพระองค์ยาวนาน 24 ปี ทำให้คนรุ่นต้นรัตนโกสินทร์ มองว่าเป็นสมัยที่ บ้านเมืองดี แต่สมัยนี้ก็มีปัญหาการยุ่งยากกับ กัมพูชาในสมัยนี้ปรากฏว่าการค้าข้าวของไทยรุ่งเรืองมาก ที่สำคัญคือการขายให้กับจีน มีหลักฐานว่าจีนซื้อข้าวจำนวนมากกับไทย ในปี 2265 ,2278 ,2294 ถึงกับจักรพรรดิจีนพระราชทานเหรียญตราให้กับผู้ที่สามารถนำข้าวจากไทยไปขายในเมืองจีน ดังนั้นเป็นผลให้เมืองท่าของจีนทางใต้ โดยเฉพาะที่กวางตุ้งเปิดให้กับไทย และจีนก็ยิ่งมีอิทธิพลการค้าในไทยเพิ่มขึ้นพระเจ้าบรมโกศพระเจ้าบรมโกศ เป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์ที่ 32 เป็นพระโอรสของพระเจ้าเสือ และพระอนุชาของพระเจ้าท้ายสระ เป็นกษัตริย์ในสมัยบ้านเมืองดี ก่อนการเสียกรุงให้แก่พม่าเมื่อ2310 คือ 9 ปีภายหลังที่พระองค์สวรรคต และพระโอรส 2 องค์เกิดแย่งชิงกันไม่สามารถต้านทานศึกพม่าได้ สมัยพระเจ้าบรมโกศเป็นยุคที่รัตนโกสินทร์ตอนต้นมองกลับไปหา และพยายามจะลอกเลียนแบบประเพณีของราชสำนักในรัชกาลอันยาวนานของพระเจ้าบรมโกศ 25 ปี ทรงได้ปรับปรุงการปกครองโดยการขยายการตั้ง เจ้าทรงกรม จาก 3 กรมเป็น 13 กรม เป็นการพยายามแก้ปัญหาการคุมอำนาจมากจนชิงราชสมบัติ แต่การขยายกรมที่คุมไพร ทำให้การบังคับบัญชากำลังพลกระจัดกระจายทำให้ไม่สามารถเผชิญกับศึกภายนอกเมื่อพม่ายกทัพมาตีอยุธยาในด้านศาสนา พุทธศาสนารุ่งเรืองมากมีการส่งทูตไปศรีลังกา 2 ครั้ง ทำให้เกิดการอุปสมบทขึ้นใหม่ และมีการตั้งพุทธศาสนานิกายสยามวงศ์ขึ้นในด้านความสำคัญกับเพื่อนบ้านมีความสัมพันธ์อันดีกับหงสาวดีและ พม่าในปี 2300พระเจ้าบรมโกศทรงประชวร และในปีนี้มีดาวหางขึ้น ซึ่งปรากฏว่าเป้นดาวหางฮัลเลย์ เมื่อพระองค์สวรรคตก็เกิดการแย่งอำนาจสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร ( ขุนหลวงหาวัด )สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร (ขุนหลวงหาวัด) เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ (สมเด็จพระบรมราชาที่ 3 ) กับพระอัครมเหสีน้อยหรือกรมหลวงพิพิธมนตรี มีพระเชษฐา 1 พระองค์ พระกนิษฐาและพระขนิษฐา 6 พระองค์ ต่อไปนี้ 1. สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าเอกทัศ (เจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรี) 2.เจ้าฟ้าประภาวดี 3.เจ้าฟ้าประชาวดี 4.เจ้าฟ้าพินทวดี 5.เจ้าฟ้าจันทวดี 6. เจ้าฟ้ากระษัตรี 7.เจ้าฟ้ากุสุมาวดี สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร (ขุนหลวงหาวัด) พระนามเดิมว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิต ดำรงตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ก่อนที่พระองค์จะทำการพิธีราชาภิเษกขึ้นครองราชย์ ได้มีพระเชษฐาและพระอนุชาต่างพระมารดา 3 พระองค์ ที่จะทำการกบฏแย่งชิงราชสมบัติหลังจากสมเด็จพระราชบิดาสวรรคต ได้แก่ กรมหมื่นจิตรสุนทร กรมหมื่นสุนทรเทพ กรมหมื่นเสพภักดี แต่พระองค์ได้ให้พระราชาคณะ 5 รูป ได้เกลี้ยกล่อมจนสำเร็จ อีก 8 วันต่อมา เจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษมนตรี สมเด็จพระเชษฐาธิราช ก็กราบบังคมทูลสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร (ขุนหลวงหาวัด) ให้จับพระอนุชาต่างมารดาทั้งสามสำเร็จโทษเสียเพื่ออย่าให้มีเสี้ยนหนามในแผ่นดินต่อไปอีก 7 วันต่อมา สมเด็จพระเจ้าอุทุมพรก็กระทำพระราชพิธีราชาภิเษกขึ้นครองราชสมยัติเป็นพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 34 แห่งกรุงศรีอยุธยา ทรงพระนามว่า สมเด็จพระบรามราชาที่ 4 แต่ประชาชนพากันเรียกว่า สมเด็จพระเจ้าอุทุมพรเมื่อระหว่างที่สมเด็จพระเจ้าอุทุมพรเสด็จขึ้นครองราชย์มาได้เพียง 10 วัน สมเด็จพระเจ้าอุทุมพรทรงเห็นว่า สมเด็จพระเชษฐาธิราช เจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษมนตรี เสด็จประทับอยู่ที่พระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ตลอดเวลา ไม่ยอมไปที่ไหน พระองค์ทรงเห็นว่า สมเด็จพระเชษฐาธิราชมีความใฝ่ฝันที่จะได้ครองราชสมบัติ สมเด็จพระเจ้าอุทุมพรจะจัดการประการใดก็มิได้เพราะเกรงสมเด็จพระราชชนนี พอทรงครองราชย์สมบัติมอบให้แก่สมเด็จพระเชษฐาธิราช หลังจากนั้นก็ทูลลาออกผนวชที่วัดเดิม แล้วเสด็จไปจำพรรษาที่วัดประดู ครั้งนั้นขุนนางข้าราชการที่มีความสามารถในหน้าที่การงาน พากันลาราชการออกบวชตามพระองค์เป็นจำนวนมากสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร ( ขุนหลวงหาวัด ) หรือสมเด็จพระบรมราชาที่ 4 ทรงครองราชสมบัติตั้งแต่ปี พ.ศ. 2301 และทำการสละราชสมบัติในปีเดียวกันให้กับสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ ซึ่งเป็นสมเด็จพระเชษฐาธิราช สิริครองราชย์ได้ 2 เดือนสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ ( พระเจ้าเอกทัศน์ )สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ กับพระอัครมเหสีน้อย หรือกรมหลวงพิพิธมนตรีมีพระอนุชา 1 พระองค์ และพระขนิษฐา 6 พระองค์ในปี 2310 ตรงกับเดือนพฤศจิกายน สมเด็จพระพันปีหลวง กรมพระเทพอามาตย์ทรงพระประชวนจนทิวงคต สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ ก็ถวายพระศพอย่างสมพระเกียรติตามโบราณราชประเพณีขณะนั้นเจ้ากรมมหาดเล็กคนใหม่ พระยาราชมนตรีบริรักษ์ และจมื่นศรีสรรักษ์น้องชายซึ่งถือตัวว่าเป็นน้องชายพระสนมเอก และสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ให้เข้าออกในวังหลวงได้ตลอดเวลา ได้แสดงกิริยาโอหัง ไม่ยอมเคารพข้าราชการชั้นผู้ใหญ่และเสนาบดีทั้งปวงเจ้าพระยาอภัยราชา ได้หารือกับข้าราชการที่รองลงมาว่าคนสองคนนี้จะยุแหย่ให้บ้านเมืองเกิดการจลาจลวุ่นวาย และมีความเห็นว่าพระเจ้าบรมโกศก็ไม่ต้องการที่จะให้ราชสมบัติแก่พระเจ้าแผ่นดินองค์นี้ต้องการยกให้กรมหมื่นพรพินิต และทรงทำนายไว้ว่า บ้านเมืองจะพินาศฉิบหายเพราะความโง่เขลาเบาปัญญาของสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์จึงเห้นว่าสมควรทูลเชิญให้กรมหมื่นพรพินิตลาผนวชกลับมาครองราชย์ดังเดิม แต่กรมหมื่นพรพินิตนำความไปทูลสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์จึงได้วางกำลังล้อมจับคณะปฏิวัติได้ทั้งหมด ลงอาญาให้เฆี่ยนตีบรรดาคณะปฏิวัติชั้นหัวหน้าทุกคนและนำจำขังไว้ ส่วนกรมหมื่นเทพพิพิธนั้นให้ศึกเสียจากพระ พอดีมีเรือที่กลับมาจากส่งสมณฑูตไทยจากลังกา สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดพระราชาคณะอีก 2 รูป คือ พระวิสุทธาจารย์ และพระวรญาณมุนีกับพระภิกษุอีก 3 รูป ไปผลัดเปลี่ยนพระที่ลังกาด้วย เป็นการลงโทษสถานเนรเทศให้พ้นออกไปจากกรุงศรีอยุธยา
. |
สงครามพม่าครั้งที่ 2 หลังจากพม่าเกิดความวุ่นวายภายในและทำการจัดระเบียบราชการแผ่นดินของพม่าใหม่ โดยมีมังลอกพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในพระเจ้าอลองพญาได้ราชสมบัติ และต้องทำการสงครามปราบปรามหัวเมืองต่าง ๆ ที่ตั้งแข็งเมืองกระด้างกระเดื่องอยู่เกือบปี ก็พอดีทรงพระประชวร และสวรรคตในเวลาต่อมา มังระพระราชโอรสองค์ที่ 2 ในพระเจ้าอลองพญา ได้เสวยราชสมบัติสืบต่อ มีนิสัยชอบการสงครามเหมือนพระราชบิดา จึงให้ มังมหานรธาเป็นแม่ทัพใหญ่ ยกทัพพม่าเข้ามาทางทวาย ตีหัวเมืองล้อมกรุงศรีอยุธยา และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เนเมียวสีหบดีเป็นแม่ทัพใหญ่ ยกทัพเข้าโจมตีไทยฝ่ายเหนือ เริ่มตั้งแต่เชียงใหม่ เวียงจันทร์ แล้วรุดหน้ามาทางใต้เข้าล้อมอยุธยา เป็นทัพกระหนาบเหตุการณ์ตอนปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงวิจารณ์ไว้ในจดหมายเหตุกรมหลวงนรินทรเทวีเกี่ยวกับการเสียกรุงในครั้งนั้นว่า"เครื่องศัสตราวุธเห็นจะขัดสนมาก อย่างไขว้เขวกัน มีปืนไม่มีลูก มีลูกไม่มีปืน อาวุธที่จ่ายออกมาก็ชำรุดทรุดโทรม ปืนเอาไปยิงก็จะเกิดอันตรายเนือง ๆ แตกบ้าง ตกรางบ้าง ยิงไม่ออกบ้าง เข็ดหยาดเห็นการยิงปืนยากเสียเต็มที คราวนี้ก็เลยกลัวไม่ใคร่จะมีใครกล้ายิงเองอยู่แล้ว ซ้ำเจ้านายและผู้ดีก็พากันสวิงสวายกลัวอะไรต่ออะไร ตั้งแต่ฟ้าร้องเป็นต้นไป เป็นปกติของผู้ดีชั้นนั้น"ส่วนพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ได้กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้เช่นเดียวกัน ซึ่งปรากฏอยู่ในจดหมายหลวงอุดมสมบัติ ฉบับที่ 1 เป็นใจความว่า"ครั้งพม่ายกมาตั้งค่ายอยู่ในวัดแม่นางปลื้มนั้น จะหาคนรู้ยิงปืนเป็นสู้รบกับพม่าก็ไม่มี ศูนย์ทะแกล้วทหารเสียหมด (พระเจ้าเอกทัศ) รับสั่งให้เอาปืนปะขาวกวาดวัดขึ้นไปยิงสู้รบกับที่หัวรอ ต่างคนต่างก็ตื่นตกใจเอาสำอุดหูกลัวเสียงปืน จะดังเอาหูแตก ว่ากล่าวกันให้ใส่ดินแต่น้อย ครั้นใส่แต่น้อยกำหนดจะยิงข้างน้ำข้างใน (หม่อนต่าง ๆ เข่น มีเรื่องเล่าถึงหม่อนเพ็ง หม่อนแมน) ก็พากันร้องวุ่นวาย เอาสำลีจุกหูไว้ กลัวหูจะแตก ก็รับสั่งให้ผ่อนดินให้น้อยลง จะยิงแล้วไม่ยิงเสีย แต่เวียนผ่อนลง ๆ ดินก็น้อยลงไปทุกที ครั้นเห็นว่าน้อยพอยิงได้แล้วก็ล่ามชนวนออกไปให้ไกลทีเดียว แต่ไกลอย่างนั้นคนยิงยังต้องเอาสำลีจุกหูไว้ กลัวหูจะแตก ครั้นยิงเข้าไปเสียงปืนก็ดังพรูดออกไป ลูกปืนก็ตกลงน้ำ หาถึงค่ายพม่าไม่ (สมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ) รับสั่งต่อไปว่า สั่งคนรู้วิชาทัพ ก็จะเป็นไปอย่างนี้นั่นเอง"สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ไม่สามารถทำการศึกสงครามได้ และไม่สามารถทั้งในการรวมคนป้องกันพระนคร ประชาชนจึงไปอันเชิญเสด็จสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร ให้ลาผนวชมาช่วยรักษาพระนครอีกครั้งหนึ่ง แต่สมเด็จพระเจ้าอุทุมพรก็ไม่ยอม พม่าล้อมและระดมตีไทยอยู่ครั้นนั้นเป็นเวลานานถึง ๑ ปี ๒ เดือน ถึงวันที่ ๑๓ เมษายน พ.ศ. ๒๓๑๐ เวลา ๒๐.๐๐ น. ก็เข้าเมืองได้ ได้เผาผลาญบ้านเมืองเสียยับเยิน กวาดเก็บทรัพย์สินและสมบัติและผู้คนเป็นเชลยเสียมากปราสาทราชมณเฑียรต่าง ๆ ก็ถูกไปเผาพินาศสิ้น ทองหุ้มองค์พระพุทธรูป พม่าเอาไฟเผาครอกเอาไปหมด เกี่ยวกับเรื่องนี้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ กล่าวไว้ใน พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ความตอนหนึ่งกล่าวว่า"ฝ่ายเนเมียวแม่ทัพค่ายโพธิ์สามต้น จึงให้พลพม่าเข้ามาจุดเพลิงเผาปราสาทที่เพนียดนั้นเสีย แล้วให้ตั้งค่ายลงที่เพนียด และวัดพระเจดีย์แดง วัดสามพิหาร วัดมณฑป วัดกระโจม วัดนางชี วัดนางปลื้ม วัดศรีโพธิ์ เผาเหย้าเรือนอาวาส และพระราชวังทั้งปราสาทราชมณเฑียร และเพลิงสว่างดังกลางวันแล้วเทียวไล่จับผู้คนค้นริบเอาทรัพย์เงินทองสิ่งของทั้งปวงต่างๆ แต่พระเจ้าแผ่นดินนั้นหนีออกจากเมืองลงเรือน้อยไปกับมหาดเล็กสองคน ไปซ่อนอยู่ในสุมทุมไม้ใกล้บ้านจิกขัน วัดสังฆาวาส มหาเล็กนั้นก็ทิ้งเสียหนีไปอื่น อดอาหารอยู่แต่เพียงพระองค์เดียวพม่าหาจับได้ยาก จับได้เพียงแต่พระราชวงศานุวงศ์ทั้งปวงไปไว้ทุกๆ ค่าย .แล้วพม่าก็เอาเพลิงสุมหลอมเอาทองคำซึ่งแผ่หุ้มองค์พระพุทธรูปผืนใหญ่ในพระวิหารหลวงวัดพระศรีสรรเพชรดารามนั้น ขนเอาเนื้อทองคำไปหมดสิ้นหลังจากนั้นพม่าค้นหาผู้คนและทรัพย์สมบัติอยู่ 10 วัน ได้ทรัพย์สมบัติไปเป็นอันมากแล้วยกกองทัพกลับ ตั้งให้สุกี้เป็นแม่ทัพกุมพล 3,000 คน อยู่ที่ค่ายโพธิ์สามต้น เพื่อค้นหาสมบัติและส่งผู้คนไปยังพม่าต่อไป ส่วนองค์พระเจ้าแผ่นดินนั้นหนีไปซุกซ่อนอยู่ อดอาหารมากกว่า 10 วัน สุกี้ไปพบและนำมายังค่ายโพธิ์สามต้นก็สวรรคต พร้อมกับสิ้นบุญกรุงศรีอยุธยาสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ (พระเจ้าเอกทัศน์) ทรงครองราชสมบัติตั้งแต่ปีพ.ศ. ๒๓๐๑ และสวรรคตในปีเดียวกับการเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ ๒ ซึ่งตรงกับปี พ.ศ. ๒๓๑๐ สืบเนื่องมาจากถูกพม่าเผากรุงศรีอยุธยาวอดวายและพระองค์อดอาหาร สาเหตุการเสียอยุธยาเเก่พม่า 1. ความเสื่อมเรื้อรังในสถาบันการเมืองและทางสังคม สืบเนื่องมาจากแย่งชิงอำนาจกัน 2. ความเสื่อมจากการมีผู้นำที่ไม่เข้มแข็งเด็ดขาด 3. ไพร่พลขาดความพร้อมในการรบ เพราะเว้นจากการศึกสงครามมานาน 4.พม่าเปลี่ยนยุทธวิธี และหันมาใช้วิธีตัดกำลังของหัวเมืองต่าง ๆ 5. เกิดไส้ศึกภายใน |